เทคนิคเทรด Forex และกลยุทธ์ที่มือใหม่ มืออาชีพก็ใช้ได้!
การเทรด Forex ให้ประสบความสำเร็จ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับโชคหรือการเดาสุ่ม แต่อยู่ที่การมีเทคนิคเทรด Forex ที่เหมาะสมและการนำไปปฏิบัติอย่างมีวินัย บทความนี้ MTA Academy จะพาคุณไปรู้จักกับเทคนิคและกลยุทธ์การเทรดที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้จริง เหมาะสำหรับทั้งมือใหม่และมืออาชีพที่ต้องการพัฒนาทักษะการเทรดให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น
หัวข้อที่น่าสนใจ
เทคนิคเทรด Forex คืออะไร
เทคนิคการเทรด Forex คือ แนวทางและวิธีการที่ใช้ในการวางแผนซื้อขายสกุลเงินต่างประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยง ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การรอสัญญาณที่ชัดเจน การบริหารจัดการความเสี่ยงและเงินทุน การเลือกเครื่องมือและกรอบเวลาที่เหมาะสม การติดตามข่าวสาร ไปจนถึงการควบคุมอารมณ์ การเรียนรู้และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนในระยะยาว
15 เทคนิคเทรด Forex ขั้นเทพ ปั้นพอร์ตให้สำเร็จ
- อย่ารีบร้อนเข้าเทรดเมื่อยังไม่เห็นสัญญาณที่ชัดเจน
- กำหนด Stop Loss ทุกครั้งที่เปิดออเดอร์ และความเสี่ยงที่ดีไม่ควรเกิน 1-2% ของพอร์ต
- ติดตามปฏิทินเศรษฐกิจและข่าวสำคัญที่อาจส่งผลต่อตลาด หลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงประกาศข่าวสำคัญหากยังไม่มีประสบการณ์เพียงพอ
- เลือกโบรกเกอร์ที่มีความน่าเชื่อถือ ค่าสเปรดไม่สูงมาก จะมีโอกาสที่จะได้รับกำไรมากยิ่งขึ้น
- ใช้อินดิเคเตอร์ที่เข้าใจง่ายและเหมาะกับสไตล์การเทรด ไม่จำเป็นต้องใช้หลายตัวเกินไป เพราะอาจทำให้สับสนและตัดสินใจช้า
- มือใหม่แนะนำเริ่มเทรดใน Lot น้อย ๆ ก่อน เพราะการเทรด Lot ใหญ่เลย ถ้าเจอกับสิ่งที่ไม่คาดฝัน เช่น ราคามีการสวิงแรงมาก ก็มีโอกาสที่จะทำให้พอร์ตแตกได้
- เลือก Time Frame ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรด
- จดบันทึกการเทรดหลังจากที่ทำการเทรดเสร็จ จะช่วยให้คุณเห็นข้อผิดพลาดและจุดที่ต้องพัฒนา
- เลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมในการเทรด กลยุทธ์ที่ดีควรเข้าใจง่ายและทำซ้ำได้อย่างสม่ำเสมอ
- วางแผนการใช้เงินทุนอย่างรอบคอบและไม่เสี่ยงเกินตัว การบริหารเงินทุนที่ดีจะช่วยให้พอร์ตเติบโตอย่างยั่งยืน
- รักษาวินัยในการเทรดอย่างเคร่งครัด ไม่เทรดด้วยอารมณ์หรือพยายามเอาคืนเมื่อขาดทุน
- ฝึกทดลองเทรดในบัญชีเดโมก่อนใช้เงินจริง เพื่อทดสอบกลยุทธ์และสร้างความมั่นใจ
- เรียนรู้เรื่องโซนเวลาของตลาด Forex เพื่อเลือกช่วงเวลาเทรดที่มีสภาพคล่องเหมาะสมกับคู่เงินที่สนใจ
- ใช้การวิเคราะห์หลายไทม์เฟรม (Multiple Time Frame Analysis) เพื่อยืนยันทิศทางแนวโน้มหลักก่อนเข้าเทรด
- พักการเทรดเมื่อตลาดมีความผันผวนสูงผิดปกติหรือเมื่อตัวเองอยู่ในสภาวะทางอารมณ์ที่ไม่เหมาะสม
กลยุทธ์ Forex ทำงานอย่างไร
กลยุทธ์ Forex เป็นแผนการที่นักเทรดพัฒนาขึ้นเพื่อระบุโอกาสในการซื้อขายที่มีศักยภาพและบริหารจัดการความเสี่ยง โดยอาจอิงจากการวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น การใช้รูปแบบกราฟและอินดิเคเตอร์ หรือการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เช่น ข่าวเศรษฐกิจและเหตุการณ์สำคัญ
กลยุทธ์ที่ดีจะช่วยให้นักเทรดตัดสินใจอย่างมีหลักการ ลดการตัดสินใจตามอารมณ์ ช่วยให้การอ่านกราฟแท่งเทียน มีความชัดเจนมากขึ้น และช่วยยืนยันแนวโน้มก่อนตัดสินใจเข้าออเดอร์ได้อย่างมั่นใจ เพิ่มโอกาสในการทำกำไรในระยะยาว
ตัวอย่างกลยุทธ์ Forex ขั้นพื้นฐานสำหรับมือใหม่
สำหรับผู้เริ่มต้นในการเทรด Forex ควรเลือกกลยุทธ์ที่เข้าใจง่าย มีกฎเกณฑ์ชัดเจน และไม่ซับซ้อนจนเกินไป เช่น Trend Trading, Price Action Trading, Position Trading หรือ Swing Trading
ตัวอย่างกลยุทธ์ Forex ขั้นเทพสำหรับมืออาชีพ
นักเทรดมืออาชีพมักใช้กลยุทธ์ที่ซับซ้อนกว่า ต้องอาศัยประสบการณ์ ความเข้าใจตลาดในเชิงลึก และการบริหารจัดการความเสี่ยงที่เข้มงวด เช่น การเทรดแบบ Scalping, กลยุทธ์ Overbought และ Oversold หรือ Breakout Trading
10 กลยุทธ์เทรด Forex ที่ได้รับความนิยม
ต่อไปมาทำความรู้จักกับ 10 กลยุทธ์ยอดนิยมที่เทรดเดอร์ทั่วโลกใช้สร้างผลกำไร ทั้งมือใหม่และมืออาชีพ
1. การเทรดแบบ Scalping
การเทรดแบบ Scalping เป็นการเทรด Forex ระยะสั้นที่เน้นการทำกำไรจากความเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาสั้น ๆ โดยจะเปิดและปิดคำสั่งซื้อขายอย่างรวดเร็ว ใช้กรอบเวลาตั้งแต่ 1 นาทีไปจนถึง 15 หรือ 30 นาที เป้าหมายคือการทำกำไรเล็ก ๆ หลายครั้งในแต่ละวัน
ข้อดี
- สร้างโอกาสทำกำไรได้หลายครั้งต่อวัน
- ปิดการขายรวดเร็ว
- ลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดคิดในตลาด
- ฝึกทักษะการตัดสินใจได้รวดเร็ว
ข้อเสีย
- ค่าธรรมเนียมการซื้อขายสูงเนื่องจากเทรดบ่อย
- ต้องการสมาธิและการตัดสินใจที่รวดเร็ว
- ความเครียดสูงเพราะต้องติดตามตลาดตลอดเวลา
ระดับความเสี่ยง
สูง เนื่องจากต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วและมีความผันผวนในระยะสั้น มีโอกาสเกิดสัญญาณหลอกได้ง่ายในกรอบเวลาสั้น ๆ ทำให้อาจเกิดการขาดทุนติดต่อกันหลายครั้ง
อัตราส่วนผลตอบแทน
ต่ำถึงปานกลาง กำไรต่อการเทรดแต่ละครั้งมีขนาดเล็ก แต่เน้นที่การสะสมกำไรจากการเทรดจำนวนมาก
ระยะเวลาของการซื้อขาย
ระยะเวลาสั้นมาก ตั้งแต่ไม่กี่วินาทีไปจนถึง 30 นาที โดยทั่วไปจะไม่ถือตำแหน่งนานเกิน 1 ชั่วโมง และมักจะทำการซื้อขายในช่วงที่ตลาดมีสภาพคล่องสูง เช่น ช่วงที่ตลาดยุโรปและอเมริกาเปิดทำการพร้อมกัน
จุดเข้า-ออก
จุดเข้าที่ดี คือช่วงที่ราคาเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วหลังจากมีการประกาศข่าวสำคัญ หรือเมื่อเกิดการทะลุแนวรับ/แนวต้านในกรอบเวลาสั้น เครื่องมือที่นิยมใช้ได้แก่ Stochastic, RSI และ Bollinger Bands ควรออกจากตลาดทันทีเมื่อได้กำไรตามเป้าหมาย หรือเมื่อราคาเริ่มเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้าม
2. Trend Trading
การเทรดตามแนวโน้มเป็นเทคนิคเทรด Forex ที่มุ่งเน้นการทำกำไรจากทิศทางหลักของตลาด โดยจะวิเคราะห์และระบุแนวโน้มของตลาดว่าเป็นขาขึ้นหรือขาลง จากนั้นจึงเปิดคำสั่งซื้อขายตามทิศทางนั้น โดยให้ความสำคัญกับการถือครองตำแหน่งจนกว่าจะเห็นสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้มที่ชัดเจน
ข้อดี
- โอกาสทำกำไรสูงเมื่อจับทิศทางตลาดได้ถูกต้อง
- ลดความเครียดจากการตัดสินใจบ่อย ๆ
ข้อเสีย
- อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด ทำให้ตลาดเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว
- เสี่ยงต่อการขาดทุนหากแนวโน้มเปลี่ยนทิศทางกะทันหันระดับความเสี่ยง
ปานกลางถึงสูง ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของแนวโน้มและกรอบเวลาที่ใช้ หากแนวโน้มไม่แข็งแกร่ง หรือเกิดการพักตัวลึก อาจทำให้เกิดการขาดทุนได้
อัตราส่วนผลตอบแทน
สูง หากสามารถจับแนวโน้มระยะยาวได้ อาจทำกำไรได้หลายเท่าของความเสี่ยง
ระยะเวลาของการซื้อขาย
ตั้งแต่หลายวันไปจนถึงหลายสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของแนวโน้ม กลยุทธ์นี้เหมาะกับไทม์เฟรม H4, Daily หรือ Weekly ต้องคำนึงถึงค่า Swap ที่อาจเกิดขึ้นจากการถือตำแหน่งข้ามคืน
จุดเข้า-ออก
จุดเข้ามักเกิดขึ้นเมื่อราคาย่อตัวลงมายังแนวรับในแนวโน้มขาขึ้น หรือดีดตัวขึ้นไปยังแนวต้านในแนวโน้มขาลง จุดออกมักพิจารณาจากสัญญาณการอ่อนแรงของแนวโน้ม หรือการเกิดสัญญาณกลับตัวที่ชัดเจน
3. Breakout Trading
การเทรดแบบ Breakout เป็นกลยุทธ์การเทรดที่มุ่งเน้นการทำกำไรจากจุดที่ราคาทะลุผ่านแนวรับหรือแนวต้านที่ตั้งไว้ นักเทรดจะรอให้ราคาเคลื่อนที่ทะลุระดับราคา ก่อนเข้าเทรดตามทิศทางของการทะลุผ่านนั้น ๆ
ข้อดี
- มีโอกาสทำกำไรสูงเมื่อเกิดการเคลื่อนไหวแรง
- มีจุดเข้าเทรดชัดเจน
- สามารถใช้ได้กับทุกกรอบเวลา
ข้อเสีย
- อาจเกิดสัญญาณหลอกบ่อยครั้ง ต้องเช็กให้มั่นใจ
- ต้องมีความอดทนรอจังหวะที่เหมาะสม
- อาจพลาดจุดเข้าที่ดีหากราคาเคลื่อนที่เร็วเกินไป
- เหมาะกับคนที่ยอมรับความเสี่ยงได้สูงและกล้าได้กล้าเสีย
ระดับความเสี่ยง
ปานกลางถึงสูง มีความเสี่ยงจากการเกิด False Breakout ที่อาจทำให้ราคากลับมาเคลื่อนไหวในกรอบเดิม ดังนั้นจึงควรรอให้มีการยืนยันการทะลุผ่านด้วยแท่งเทียนปิดพ้นระดับสำคัญอย่างชัดเจน
อัตราส่วนผลตอบแทน
สูง หาก Breakout เป็นจริงและราคาเคลื่อนไหวในทิศทางที่คาดการณ์ไว้ อาจทำกำไรได้อย่างรวดเร็วและมีขนาดใหญ่
ระยะเวลาของการซื้อขาย
สั้นถึงปานกลาง ขึ้นอยู่กับความแรงของการ Breakout และเป้าหมายการทำกำไร
จุดเข้า-ออก
จุดเข้า คือเมื่อราคาสามารถปิดเหนือแนวต้านสำคัญ หรือต่ำกว่าแนวรับสำคัญได้อย่างชัดเจน จุดออกคือเมื่อราคาเริ่มแสดงสัญญาณของการกลับตัว หรือเมื่อถึงเป้าหมายการทำกำไรที่ตั้งไว้ และมีการตั้ง Stop Loss ไว้ใกล้กับระดับ Breakout เพื่อป้องกัน False Breakout
4. Swing Trading
Swing Trading เป็นกลยุทธ์ที่นักเทรดพยายามทำกำไรจากการแกว่งตัวของราคาในช่วงเวลาตั้งแต่ไม่กี่วันไปจนถึงหลายสัปดาห์ เมื่อพบโอกาสที่ดีจะเปิดตำแหน่งการซื้อ และปิดตำแหน่งเมื่อตลาดมีการเคลื่อนไหวตรงกับทิศทางที่ได้ทำการวิเคราะห์ไว้
ข้อดี
- ลดความเครียดจากการติดตามตลาดตลอดเวลา
- มีเวลาวิเคราะห์และตัดสินใจมากขึ้น
- เหมาะกับผู้ที่ทำงานประจำ ไม่สามารถติดตามตลาดในทุก ๆ ช่วงเวลา
ข้อเสีย
- อาจต้องถือตำแหน่งเป็นระยะเวลานาน โดยที่ไม่มีการทำกำไร
- เสี่ยงต่อการสูญเสียกำไรจากการแกว่งตัวของราคา
ระดับความเสี่ยง
ปานกลาง เนื่องจากถือสถานะข้ามวัน ทำให้มีความเสี่ยงจากข่าวและเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดในช่วงกลางคืน
อัตราส่วนผลตอบแทน
ปานกลางถึงสูง สามารถทำกำไรจากการแกว่งตัวของราคาในแต่ละรอบได้ค่อนข้างมาก
ระยะเวลาของการซื้อขาย
ปานกลาง ตั้งแต่ 2-3 วันไปจนถึงหลายสัปดาห์
จุดเข้า-ออก
จุดเข้ามักเกิดขึ้นเมื่อราคาย่อตัวลงมายังแนวรับ หรือดีดตัวขึ้นไปยังแนวต้าน ในกรอบการแกว่งตัวของราคา จุดออกคือเมื่อราคาเข้าใกล้แนวต้าน (สำหรับการซื้อ) หรือแนวรับ (สำหรับการขาย) หรือเมื่อมีสัญญาณการอ่อนแรงของการแกว่งตัว
5. Day Trading
การเทรดแบบ Day Trading เป็นเทคนิคที่เน้นการเปิดและปิดคำสั่งซื้อขายภายในวันเดียว นักเทรดจะไม่ถือออเดอร์ข้ามคืนเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากข่าวและเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นนอกเวลาทำการ วิธีนี้มักใช้เครื่องมือทางเทคนิค เช่น กราฟแท่งเทียน Moving Averages หรือ RSI เป็นต้น เพื่อตรวจสอบแนวโน้มและจุดเข้า-ออกตลาดที่เหมาะสม
ข้อดี
- ไม่มีความเสี่ยงจากเหตุการณ์นอกเวลาทำการ
- สามารถทำกำไรได้ทั้งในตลาดขึ้นและลง
- ปิดความเสี่ยงได้ทันทีเมื่อตลาดไม่เป็นไปตามคาด
- เห็นผลลัพธ์การเทรดชัดเจนในแต่ละวัน
ข้อเสีย
- ต้องมีเวลาติดตามตลาดเต็มวัน
- มีความเครียดสูง
ระดับความเสี่ยง
ปานกลาง เนื่องจากปิดสถานะภายในวัน ทำให้ลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ข้ามคืน แต่ยังมีความเสี่ยงจากความผันผวนระหว่างวัน
อัตราส่วนผลตอบแทน
ต่ำถึงปานกลาง กำไรต่อการเทรดแต่ละครั้งอาจไม่สูงมาก แต่เน้นที่การทำกำไรหลายครั้งภายในวัน
ระยะเวลาของการซื้อขาย
สั้นมาก ตั้งแต่ไม่กี่นาทีจนถึงไม่กี่ชั่วโมง ปิดสถานะก่อนตลาดปิด
จุดเข้า-ออก
จุดเข้ามักอิงจากสัญญาณทางเทคนิคในกรอบเวลาที่สั้น เช่น การตัดกันของอินดิเคเตอร์ จุดออกคือเมื่อถึงเป้าหมายการทำกำไรที่ตั้งไว้ หรือเมื่อเกิดสัญญาณที่บ่งบอกว่าราคาไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ และมีการตั้ง Stop Loss ในระยะที่เหมาะสม
6. Position Trading
Position Trading เป็นเทคนิคเทรด Forex ระยะยาวที่เน้นการทำกำไรจากแนวโน้มหลักของตลาด นักเทรดจะถือครองตำแหน่งเป็นระยะเวลานานตั้งแต่หลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน โดยให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ส่งผลต่อทิศทางค่าเงินในระยะยาว
ข้อดี
- ไม่ต้องติดตามตลาดอย่างเข้มข้น
- ค่าธรรมเนียมการซื้อขายต่ำเพราะเทรดไม่บ่อย
- สามารถทำกิจกรรมอื่นควบคู่ไปได้
- โอกาสทำกำไรสูงเมื่อจับทิศทางตลาดได้ถูกต้อง
ข้อเสีย
- อาจพลาดโอกาสทำกำไรในช่วงตลาดผันผวนระยะสั้น
- อาจเกิดความเครียดจากการถือครองตำแหน่งระยะยาว หรือเมื่อตลาดมีการเปลี่ยนแปลงและส่งผลต่อตำแหน่งของคุณ
ระดับความเสี่ยง
ปานกลางถึงสูง ขึ้นอยู่กับความผันผวนของตลาดในระยะยาว และความถูกต้องของการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
อัตราส่วนผลตอบแทน
สูง หากสามารถจับแนวโน้มระยะยาวได้ อาจทำกำไรได้หลายเท่าของความเสี่ยง
ระยะเวลาของการซื้อขาย
ยาว ตั้งแต่หลายสัปดาห์ไปจนถึงหลายเดือน
จุดเข้า-ออก
จุดเข้ามักพิจารณาจากข่าวเศรษฐกิจใหญ่ ๆ ที่สอดคล้องกับภาพรวมของแนวโน้มระยะยาว เช่น การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลาง จุดออกมักพิจารณาจากอินดิเคเตอร์แนวโน้ม เช่น Moving Average หรือ MACD เปลี่ยนเป็นสัญญาณกลับทิศ
7. Price Action Trading
Price Action Trading เป็นกลยุทธ์การเทรด Forex ที่มุ่งเน้นการวิเคราะห์พฤติกรรมราคาโดยตรงจากกราฟแท่งเทียน โดยไม่พึ่งพาอินดิเคเตอร์หรือเครื่องมือทางเทคนิคมากนัก นักเทรดจะศึกษารูปแบบแท่งเทียน การเคลื่อนไหวของราคา แนวรับแนวต้าน และโครงสร้างของตลาดเพื่อตัดสินใจเข้าเทรด
ข้อดี
- ไม่ต้องพึ่งพาอินดิเคเตอร์ที่อาจให้สัญญาณล่าช้า
- สามารถใช้ได้กับทุกคู่เงินและทุกกรอบเวลา
- ช่วยให้มองเห็นจุดกลับตัวของราคาได้รวดเร็วกว่า
- ลดความซับซ้อนในการวิเคราะห์ตลาด
ข้อเสีย
- ต้องใช้เวลาในการฝึกฝนและพัฒนาทักษะการอ่านกราฟ
- อาจมีการตีความที่แตกต่างกันระหว่างนักเทรดแต่ละคน
- ขาดความชัดเจนในการกำหนดจุดเข้าเทรดสำหรับมือใหม่
- อาจเกิดความลำเอียงในการวิเคราะห์จากอารมณ์ของผู้เทรด
ระดับความเสี่ยง
ปานกลางถึงสูง ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความสามารถในการอ่าน Price Action ของแต่ละบุคคล
อัตราส่วนผลตอบแทน
ปานกลางถึงสูง หากสามารถระบุรูปแบบราคาที่มีความแม่นยำสูงได้ อาจได้อัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่ดี
ระยะเวลาของการซื้อขาย
สั้นถึงยาว ขึ้นอยู่กับกรอบเวลาที่นักเทรดวิเคราะห์และเทรด
จุดเข้า-ออก
จุดเข้าที่ดี คือเมื่อพบรูปแบบแท่งเทียนที่มีนัยสำคัญ เช่น Pin Bar, Engulfing Pattern, Inside Bar หรือ Outside Bar ที่เกิดขึ้นบริเวณแนวรับแนวต้านสำคัญ จุดออกควรกำหนดไว้ที่แนวรับ/แนวต้านถัดไป จุดกลับตัวของแนวโน้ม หรือเมื่อพบรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวในทิศทางตรงข้าม
8. กลยุทธ์ Overbought และ Oversold
กลยุทธ์ Overbought และ Oversold เป็นเทคนิคการเทรดที่มุ่งเน้นการหาจุดที่ราคามีการเคลื่อนไหวมากเกินไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง จนมีโอกาสที่จะเกิดการกลับตัว นักเทรดจะใช้อินดิเคเตอร์ เช่น RSI เพื่อระบุสภาวะที่ตลาดมีการซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold)
ข้อดี
- มีจุดเข้าเทรดที่ชัดเจนตามค่าของอินดิเคเตอร์
- มีโอกาสทำกำไรสูงเมื่อจับจังหวะการกลับตัวได้ถูกต้อง
ข้อเสีย
- อาจให้สัญญาณผิดพลาด โดยเฉพาะในช่วงตลาดที่มีแนวโน้มแข็งแกร่ง
- ต้องใช้ร่วมกับเครื่องมือหรือเทคนิคอื่น ๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำ
ระดับความเสี่ยง
ปานกลางถึงสูง โดยเฉพาะเมื่อใช้ในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน เนื่องจากการเทรดสวนแนวโน้มอาจทำให้เกิดการขาดทุนต่อเนื่อง แนะนำให้ตั้ง Stop Loss ที่เหมาะสมเพื่อจำกัดความเสี่ยง
อัตราส่วนผลตอบแทน
ปานกลางถึงสูง หากจับจังหวะการกลับตัวได้ดี
ระยะเวลาของการซื้อขาย
ตั้งแต่ไม่กี่ชั่วโมงไปจนถึง 1-2 วัน อาจมีการถือตำแหน่งข้ามคืนในบางครั้ง แต่ไม่ควรถือนานเกินไปเนื่องจากสัญญาณ Overbought และ Oversold มักเป็นสัญญาณระยะสั้น ควรพิจารณาปิดตำแหน่งก่อนการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญที่อาจทำให้ตลาดเกิดความผันผวนสูง
จุดเข้า-ออก
จุดเข้าที่ดีคือเมื่ออินดิเคเตอร์แสดงสภาวะ Overbought (เช่น RSI > 70) ในตลาดขาลง ให้เปิดสถานะขาย หรือเมื่ออินดิเคเตอร์แสดงสภาวะ Oversold (เช่น RSI < 30) ในตลาดขาขึ้น ให้เปิดสถานะซื้อ ควรรอให้อินดิเคเตอร์เริ่มออกจากโซน Overbought/Oversold ก่อนเข้าเทรดเพื่อลดโอกาสเข้าเร็วเกินไป จุดออกควรกำหนดไว้ที่จุดกึ่งกลางของช่วงการแกว่งตัว หรือเมื่ออินดิเคเตอร์เข้าสู่โซนตรงข้าม (Overbought จากเดิมที่เป็น Oversold หรือในทางกลับกัน)
9. Fibonacci Retracement
Fibonacci Retracement เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้อัตราส่วน Fibonacci เพื่อระบุระดับแนวรับและแนวต้านที่สำคัญ หลังจากที่ราคามีการเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญ นักเทรดจะลากเส้น Fibonacci จากจุดสูงสุดไปยังจุดต่ำสุด (หรือในทางกลับกัน) เพื่อหาระดับที่ราคาอาจมีการย่อตัวหรือฟื้นตัวก่อนที่จะเคลื่อนที่ต่อในทิศทางเดิม
ข้อดี
- ช่วยระบุระดับแนวรับแนวต้านที่สำคัญ
- สามารถใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น ๆ ได้ดี
- สามารถใช้ได้กับทุกคู่เงินและทุกกรอบเวลา
ข้อเสีย
- การลากเส้น Fibonacci อาจมีความแตกต่างกันระหว่างนักเทรดแต่ละคน
- ต้องใช้ร่วมกับการวิเคราะห์อื่น ๆ เพื่อยืนยันสัญญาณ
ระดับความเสี่ยง
ปานกลาง การเข้าเทรดโดยอาศัย Fibonacci Retracement เพียงอย่างเดียวอาจมีความเสี่ยง
อัตราส่วนผลตอบแทน
ปานกลางถึงสูง หากสามารถเข้าเทรดได้ใกล้ระดับ Fibonacci ที่สำคัญ และราคาเคลื่อนไหวตามที่คาดการณ์
ระยะเวลาของการซื้อขาย
มีความยืดหยุ่นสูง สามารถใช้ได้ตั้งแต่การเทรดระยะสั้น (ไม่กี่ชั่วโมง) ไปจนถึงการเทรดระยะกลางถึงยาว (หลายวันถึงสัปดาห์)
จุดเข้า-ออก
จุดเข้าที่ดีคือเมื่อราคาย่อตัวหรือฟื้นตัวมาถึงระดับ Fibonacci สำคัญ (เช่น 38.2%, 50%, 61.8%) และมีการยืนยันจากรูปแบบแท่งเทียนหรืออินดิเคเตอร์อื่น จุดออกเมื่อราคาถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ หรือเมื่อราคาเคลื่อนไหวผิดไปจากที่คาดการณ์
10. Hedging
Hedging หรือการป้องกันความเสี่ยง เป็นกลยุทธ์ที่นักเทรดเปิดตำแหน่งตรงข้ามกับตำแหน่งที่มีอยู่เดิม เพื่อป้องกันหรือลดความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่พึงประสงค์ เช่น การเปิดสถานะขายในคู่เงินเดียวกันหรือคู่เงินที่มีความสัมพันธ์กันในขณะที่มีสถานะซื้ออยู่ เพื่อรักษาผลกำไรหรือจำกัดการขาดทุน
ข้อดี
- ช่วยป้องกันการขาดทุนในระยะสั้น
- เหมาะสำหรับช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง
ข้อเสีย
- อาจทำให้เสียโอกาสในการทำกำไรหากราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดิม
ระดับความเสี่ยง
ต่ำถึงปานกลาง การ Hedge ช่วยลดความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวของราคาในทิศทางที่ไม่พึงประสงค์ แต่จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหากไม่มีการบริหารจัดการที่ดี เช่น การปิดตำแหน่ง Hedge ไม่ทันเวลาเมื่อตลาดกลับทิศทาง หรือการใช้ Leverage สูงเกินไปในทั้งสองตำแหน่ง
อัตราส่วนผลตอบแทน
ต่ำถึงปานกลาง เน้นการรักษาสถานะเดิมมากกว่าการแสวงหากำไรเพิ่มเติม
ระยะเวลาของการซื้อขาย
สั้นถึงปานกลาง มักใช้ในช่วงที่ต้องการลดความเสี่ยงชั่วคราว
จุดเข้า-ออก
จุดเข้า Hedging คือเมื่อสถานะเดิมเริ่มเผชิญกับความเสี่ยงที่มากขึ้น หรือมีกำไรแล้วแต่มีความไม่แน่นอนในตลาด จุดออก Hedging คือเมื่อความไม่แน่นอนของตลาดลดลง หรือเมื่อต้องการกลับไปเน้นที่สถานะเดิม
สรุปบทความ
เทคนิคเทรด Forex ให้ประสบความสำเร็จ ต้องเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะกับตัวคุณ และการฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ นักเทรดที่ประสบความสำเร็จมักผสมผสานหลายกลยุทธ์เข้าด้วยกัน และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ตามสภาวะตลาด การเริ่มต้นที่ดีควรเริ่มจากการเรียนรู้พื้นฐานให้แน่น ฝึกฝนในบัญชีทดลอง และค่อย ๆ พัฒนาสไตล์การเทรดของตัวเอง
สำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นเส้นทางการเทรด Forex อย่างมืออาชีพ Master Trader Academy พร้อมดูแล! ด้วยคอร์สเรียนเทรดที่ครอบคลุม พร้อมเทคนิคการเทรดดี ๆ และทีมผู้สอนที่มีประสบการณ์ตรง เราพร้อมช่วยให้คุณก้าวสู่การเป็นนักเทรดมืออาชีพที่ประสบความสำเร็จ
สอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับคอร์สเรียนได้ที่
- Line : @mtaacademy
- Facebook : Master Trader Academy TH
- Email : mtamasteracademy@gmail.com