การเทรดแบบ Scalping คืออะไร เหมาะกับใคร ทำกำไรได้จริงไหม
การเทรดในตลาดการเงินมีหลากหลายรูปแบบให้เลือกใช้ตามความถนัดของแต่ละคน หนึ่งในกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมคือการเทรดแบบ Scalping ซึ่งเป็นเทคนิคการเทรดระยะสั้นที่เน้นทำกำไรจากความผันผวนของราคาในช่วงเวลาสั้น ๆ บทความนี้ MTA Academy จะพาคุณไปทำความรู้จักกับการเทรดรูปแบบนี้อย่างละเอียด พร้อมเผยเทคนิคเทรด Forex แบบ Scalping ที่นักเทรดมืออาชีพใช้สร้างผลตอบแทน
หัวข้อที่น่าสนใจ
Scalping คืออะไร
การเทรดแบบ Scalping คือกลยุทธ์การซื้อขายที่มุ่งเน้นการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในระยะเวลาอันสั้น นักเทรดที่ใช้กลยุทธ์นี้ หรือที่เรียกว่า Scalper จะเน้นการเปิดและปิดคำสั่งซื้อขายอย่างรวดเร็ว โดยมักจะถือครอง Position เพียงไม่กี่นาทีถึงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เป้าหมายคือการทำกำไรเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ทำซ้ำหลายครั้งในแต่ละวัน ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วสามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจได้
การเทรดแบบ Scalping เป็นที่นิยมในตลาดที่มีสภาพคล่องสูงและมีความผันผวน เช่น ตลาด Forex ทั้งการเทรดคู่สกุลเงินต่าง ๆ และการเทรดทอง Forex เพราะใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของราคาที่เกิดขึ้นตลอดเวลา
การเทรดแบบ Scalping เหมาะกับใคร
- ผู้ที่ที่ไม่ชอบถือออเดอร์นาน ๆ
- ผู้ที่เป็น Active Trader ชอบดูกราฟเพื่อหาจังหวะในการเข้าเทรด
- ผู้ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ตลาดอย่างรวดเร็ว ต้องสามารถประเมินสถานการณ์ และตัดสินใจซื้อขายได้อย่างรวดเร็ว
- นักเทรดที่มีวินัยสูงและควบคุมอารมณ์ได้ดี เพราะต้องเผชิญกับการตัดสินใจซื้อขายหลายครั้งต่อวัน
องค์ประกอบของการเทรดแบบ Scalping คืออะไร
- ประเภทสินทรัพย์ที่ใช้เทรด การเลือกสินทรัพย์มีผลอย่างมากต่อความสำเร็จในการ Scalping เพราะกลยุทธ์นี้อาศัยความผันผวนในระยะสั้น สินทรัพย์อย่าง Forex, Futures และ Crypto มักตอบโจทย์ เพราะมีความเคลื่อนไหวสูงและมีสภาพคล่องเพียงพอ
- กลยุทธ์การเข้าเทรด ส่วนใหญ่จะใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น Indicator และ Price Action เพื่อหาจังหวะเข้าทำกำไรในช่วงเวลาสั้น ๆ โดยพิจารณารูปแบบราคา แนวรับแนวต้าน รวมถึง Demand/Supply Zone เพื่อเลือกเทรดเฉพาะจังหวะที่มีความน่าจะเป็นสูง
- วอลุ่มและความแข็งแกร่งของราคา บริเวณที่มีการซื้อขายหนาแน่นหรือราคากลับตัวซ้ำบ่อย มักเป็นจุดที่มีแรงซื้อแรงขายสูง นักเทรดจะสังเกตสิ่งเหล่านี้เพื่อคาดเดาทิศทางราคา
- ระบบจัดการความเสี่ยง การตั้ง Stop Loss อย่างชัดเจน การกำหนด Risk/Reward Ratio และการบริหารขนาดการเทรดให้เหมาะสม เป็นสิ่งที่ต้องมีทุกครั้ง เพื่อป้องกันการขาดทุนสะสมจากความผิดพลาดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
- วินัยในการเทรด ไม่ว่าแผนการเทรดจะดีแค่ไหน หากขาดวินัยและปล่อยให้อารมณ์ครอบงำ เช่น ปรับจุด Stop Loss ตามใจ หรือหวังว่าราคาจะกลับมาเสมอ จะกลายเป็นความเสี่ยงที่พาไปสู่การสูญเสียในระยะยาว
วิธีการ Scalping
- Scalping โดยใช้ประโยชน์จาก Spread ใน Forex Spread คือความแตกต่างระหว่างราคา Bid (ราคาที่โบรกเกอร์เสนอซื้อ) และ Ask (ราคาที่โบรกเกอร์เสนอขาย) นัก Scalper บางคนพยายามที่จะทำกำไรจาก Spread เล็ก ๆ นี้ โดยการซื้อและขายในเวลาที่ Spread แคบและคาดหวังว่าราคาจะเคลื่อนที่เพียงพอให้ครอบคลุม Spread และสร้างกำไรเล็กน้อย
- Scalping จากการเคลื่อนไหวของราคาอย่างรวดเร็ว นัก Scalper ส่วนใหญ่ใน Forex จะเน้นการเข้าและออกจากตลาดอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของราคาที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงสั้น ๆ พวกเขาอาจใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิคและกราฟรูปแบบต่าง ๆ เพื่อระบุโอกาสในการทำกำไรจากความผันผวนของราคาเล็ก ๆ น้อย ๆ
ข้อดีของการเทรดแบบ Scalping
- สามารถสร้างกำไรได้หลายครั้งต่อวัน มีโอกาสปั้นพอร์ตเล็ก ๆ ให้เป็นพอร์ตใหญ่ได้
- ปิดงานไว แถมประหยัดเวลา
- ลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดคิดในตลาด เพราะไม่ได้ถือ Position ข้ามคืน
- สามารถทำกำไรได้ทั้งในตลาดขาขึ้นและขาลง เพราะการเทรดแบบ Scalping เน้นทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาเพียงเล็กน้อย ในกรอบระยะเวลาสั้น ๆ
ข้อเสียของการเทรดแบบ Scalping
- ต้องเฝ้าติดตามตลาดอย่างใกล้ชิด
- มีความเครียดและแรงกดดัน เพราะต้องตัดสินใจรวดเร็วและถูกต้องหลายครั้ง
- ต้องการความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ไม่เหมาะกับผู้เริ่มต้น
- การทำกำไรด้วยเทคนิค Scalping ต้องอาศัยเงินทุนที่มากพอสมควร
การเทรดแบบ Scalping กับ Day Trading ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
การเทรดแบบ Scalping และ Day Trading เป็นการเทรดระยะสั้น แต่มีความแตกต่างกันตรงที่ Scalping จะเน้นการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้นมาก ทำกำไรเพียง 5-10 pips ต่อการเทรดแต่ละครั้ง และอาจทำการเทรดหลายสิบครั้งต่อวัน ส่วน Day Trade มักทำกำไรจากความความผันผวนของราคา ระหว่าง 30-100 Pips นอกจากนี้ การเทรดแบบ Scalping มักซื้อขายในกรอบเวลาที่สั้นมากเพียงไม่กี่นาที ในขณะที่ Day Trading อาจใช้ 1-2 ชั่วโมง
การเทรดแบบ Scalping ดีกว่า Day Trading ไหม
ระหว่าง Scalping และ Day Trading แบบไหนดีกว่ากันนั้น ขึ้นอยู่กับกับสไตล์การเทรดของแต่ละคน ลองมาดูตารางเปรียบเทียบแต่ละประเด็นด้านล่างเพื่อให้เห็นภาพและตัดสินใจง่ายขึ้น
ประเด็นเปรียบเทียบ | Scalping | Day Trading |
ระยะเวลาถือออเดอร์ | ไม่กี่วินาที – ไม่กี่นาที | หลายนาที – ตลอดทั้งวัน |
จำนวนออเดอร์ | สูงมาก | ปานกลาง |
ผลกำไรต่อไม้ | น้อยแต่บ่อย | มากกว่า แต่เทรดน้อยกว่า |
ความเครียด | สูง ต้องจับตาใกล้ชิด | ปานกลาง มีเวลาวางแผน |
ทักษะที่ใช้ | ต้องวิเคราะห์แม่นและเร็ว | ต้องวิเคราะห์ทั้งเทคนิคและพื้นฐาน |
ความเหมาะสม | เหมาะกับคนไว ใจนิ่ง มีเวลาเฝ้ากราฟ | เหมาะกับคนมีเวลาน้อยและวิเคราะห์รอบด้าน |
สรุปคือ ใครชอบจังหวะเร็ว จบเร็ว และพร้อมรับแรงกดดันจากตลาดตลอดเวลา Scalping อาจใช่ แต่ถ้าชอบวางแผนรอบคอบ ไม่อยากนั่งเฝ้ากราฟทั้งวัน Day Trading ก็น่าจะตอบโจทย์มากกว่า
การเลือกคู่สกุลเงินในการเทรดแบบ Scalping
การเลือกคู่สกุลเงินที่เหมาะสมเป็นหัวใจหลักของการ Scalping เพราะมีผลโดยตรงต่อต้นทุนการเทรดและโอกาสในการทำกำไร
คู่สกุลเงินที่ควรเลือก
- EUR/USD
- GBP/USD
- USD/JPY
- AUD/USD
คู่เหล่านี้มีสภาพคล่องสูง และมักมีค่า Spread ที่แคบ ซึ่งช่วยให้เข้าออกออเดอร์ได้รวดเร็วโดยไม่เสียค่าธรรมเนียมมาก โดยนักเทรดสาย Scalping มักโฟกัสแค่ 2–3 คู่ที่ตนเองถนัด และเรียนรู้พฤติกรรมราคาของคู่นั้นอย่างลึกซึ้ง เพื่อจับจังหวะให้แม่นยำยิ่งขึ้น
ข้อดีของการเลือกคู่สกุลที่มีสภาพคล่องสูง
- Spread แคบ ลดต้นทุนการเทรด เพราะส่วนต่างระหว่างราคา Bid กับ Ask ต่ำ
- ความเร็วในการจับคู่คำสั่ง ยิ่งสภาพคล่องดี ออเดอร์ยิ่งแมตช์เร็ว ไม่ดีเลย์
- แนวโน้มราคาชัดเจนกว่า ง่ายต่อการวิเคราะห์และวางกลยุทธ์
- ข้อมูลข่าวสาร คู่สกุลเงินที่มีสภาพคล่องสูงมักจะได้รับความสนใจจากนักเทรดจำนวนมาก ทำให้มีข้อมูลข่าวสาร บทวิเคราะห์ และการวิจัยเกี่ยวกับคู่สกุลเงินเหล่านี้มากมาย ซึ่งนักเทรด Scalping สามารถนำมาใช้ประกอบการตัดสินใจในการเทรดได้
เครื่องมือที่ใช้สำหรับการเทรดแบบ Scalping คืออะไร
หลักสำคัญของการ Scalping คือความรวดเร็วและแม่นยำสูง เครื่องมือจึงมีบทบาทสำคัญ ทั้งในด้านการวิเคราะห์และการวางแผนเข้าออกออเดอร์ เครื่องมือหลักที่นิยมใช้มีดังนี้
1. Timeframe
Scalper ส่วนใหญ่นิยมใช้กราฟที่แสดงข้อมูลในช่วงเวลาสั้น เช่น 1 นาที (M1), 5 นาที (M5) หรือ 15 นาที (M15)
เพราะช่วยให้เห็นความเคลื่อนไหวของราคาที่ละเอียดมากขึ้น สามารถจับจังหวะเล็ก ๆ ในตลาดได้ดี โดยเฉพาะเมื่อตลาดมีความผันผวนสูง
2. Moving Average
Moving Average คือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ช่วยให้เห็นแนวโน้มของราคาในระยะสั้น Scalper มักใช้เส้น EMA เช่น EMA 9 และ EMA 21 เพื่อดูแนวโน้ม และใช้เป็นจุดตัดสินใจเข้าออเดอร์ เช่น การ Cross Over ของเส้นเฉลี่ยที่บ่งชี้การกลับตัวของราคา
3. Oscillators
Oscillators เป็น Indicators ที่ใช้ในการวัดความแข็งแกร่งของโมเมนตัมและสภาวะ Overbought/Oversold ของตลาด
- เงื่อนไข Overbought/Oversold Oscillators เช่น RSI และ Stochastic Oscillator ช่วยในการระบุเมื่อสินทรัพย์ถูกซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการกลับตัวของราคา
- Divergence Oscillators สามารถช่วยในการระบุ Divergence ซึ่งเป็นสัญญาณที่ราคาและ Indicator เคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงกันข้าม และอาจบ่งบอกถึงการอ่อนแรงของแนวโน้ม
- ยืนยันทิศทางของแนวโน้ม Oscillators สามารถใช้ในการยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้มที่ระบุโดย Indicators หรือรูปแบบกราฟอื่น ๆ
4. แนวรับ/แนวต้าน
แนวรับและแนวต้านเป็นระดับราคาบนกราฟที่คาดว่าจะมีแรงซื้อหรือแรงขายเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญ นักเทรด Scalping ใช้แนวรับและแนวต้านเพื่อ
- ระบุจุดเข้า ราคาที่เข้าใกล้แนวรับ อาจเป็นจุดที่น่าสนใจในการเข้าซื้อ ในขณะที่ราคาที่เข้าใกล้แนวต้าน อาจเป็นจุดที่น่าสนใจในการเข้าขาย
- ระบุจุดออก แนวรับและแนวต้าน สามารถใช้เป็นเป้าหมายในการทำกำไร หรือเป็นจุดที่ควรพิจารณาในการปิดสถานะ
- ระบุโอกาส Breakout การที่ราคา Breakout (ทะลุ) แนวรับหรือแนวต้าน อาจเป็นสัญญาณของการเคลื่อนไหวของราคาที่แข็งแกร่ง
- กำหนด Stop Loss การวาง Stop Loss เหนือแนวต้าน (สำหรับสถานะขาย) หรือใต้แนวรับ (สำหรับสถานะซื้อ) สามารถช่วยในการจำกัดความเสี่ยง
เทคนิคการเทรดแบบ Scalping
- จัดการเวลาและการเลือกช่วงเทรด โดยต้องเลือกช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวนเหมาะสม โดยเฉพาะช่วงที่ตลาดหลักเปิดทำการและมีปริมาณการซื้อขายสูง
- ควรเลือก Timeframe ที่เหมาะสม เช่น 1 นาที 5 นาที หรือ 15 นาที
- วิเคราะห์ทางเทคนิคและใช้เครื่องมือที่หลากหลาย เช่น Moving Average, RSI, MACD และ Bollinger Bands เพื่อหาจุดเข้า-ออกที่เหมาะสม พร้อมทั้งวิเคราะห์แนวโน้มและแนวรับ-แนวต้าน
- เข้าทำกำไรให้ไวและรีบออกให้ไว้ที่สุด ไม่ถือ Position นาน
- ตั้งค่า Stop Loss และ Take Profit เพื่อลดการขาดทุน โดยทั่วไปมักจะใช้อัตราส่วน Risk/Reward ที่ 1:1 เช่น ถ้า Stop Loss อยู่ที่ 10 pips ก็ควรตั้ง Take Profit ที่ 10 pips
- ควบคุมอารมณ์ มีวินัยสูง และยึดมั่นในแผนการเทรดที่วางไว้ ไม่ปล่อยให้ความโลภหรือความกลัวมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ
สรุปบทความ
การเทรดแบบ Scalping คือกลยุทธ์ที่ต้องอาศัยทั้งความรู้ ประสบการณ์ และการฝึกฝนอย่างหนัก แม้จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงและความท้าทาย นักเทรดที่สนใจต้องเข้าใจทั้งข้อดีและข้อเสีย พร้อมทั้งประเมินความพร้อมของตนเองอย่างรอบคอบ การเริ่มต้นที่ดีควรเริ่มจากการเรียนรู้และฝึกฝนในบัญชีทดลองก่อนเริ่มเทรดด้วยเงินจริง
หากคุณสนใจพัฒนาทักษะการเทรดแบบ Scalping Master Trader Academy พร้อมดูแล! ด้วยคอร์สเรียนเทรดที่ครอบคลุม พร้อมเทคนิคการเทรดดี ๆ และทีมผู้สอนที่มีประสบการณ์ตรง เราพร้อมช่วยให้คุณก้าวสู่การเป็นนักเทรดมืออาชีพที่ประสบความสำเร็จ
สอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับคอร์สเรียนได้ที่
- Line : @mtaacademy
- Facebook : Master Trader Academy TH
- Email : mtamasteracademy@gmail.com