Oversold Overbought คืออะไร พร้อมวิธีการดู
ในโลกของการเทรด Forex ไม่ว่าจะเป็นการเทรดคู่เงินยอดนิยม หรือเทรดทอง Forex การตัดสินใจว่าควรซื้อหรือขายในจังหวะไหนถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะกำหนดความสำเร็จของนักเทรด หนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้นักเทรดมีโอกาสตัดสินใจได้แม่นยำมากขึ้นคือการวิเคราะห์ภาวะ Oversold Overbought ซึ่งจะช่วยให้คุณไม่พลาดโอกาสในการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคา
หัวข้อที่น่าสนใจ
บทความนี้ MTA Academy จะพาคุณไปรู้จักว่า Oversold Overbought คืออะไร พร้อมทั้งแนะนำอินดิเคเตอร์ที่นิยมใช้และกลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพ
Oversold Overbought คืออะไร
Oversold Overbought คือสภาวะที่บ่งชี้ว่าราคาของสินทรัพย์ทางการเงินมีการซื้อ หรือการขายที่มากเกินสมดุล การรู้จักดูสัญญาณเหล่านี้จะช่วยให้นักเทรดสามารถคาดการณ์แนวโน้มที่อาจเกิดการกลับตัวได้
ภาวะขายมากเกินไป (Oversold)
ภาวะ Oversold คือสภาวะที่ราคาสินทรัพย์ถูกขายทิ้งมากเกินไปในช่วงเวลาสั้น ๆ จนมีแนวโน้มว่าราคาอาจกลับตัวขึ้น เนื่องจากมีแรงขายอย่างหนักทำให้ราคาลดลงอย่างรวดเร็ว และอาจถูกเกินความเป็นจริง นักเทรดมักใช้จังหวะนี้เป็นโอกาสในการเข้าซื้อเพื่อรอการกลับตัวของราคา
ภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought)
ภาวะ Overbought คือสภาวะที่ราคาสินทรัพย์มีการซื้อมากเกินไปในช่วงเวลาสั้น ๆ จนมีแนวโน้มว่าราคาอาจกลับตัวลง เนื่องจากมีแรงซื้ออย่างต่อเนื่องทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และอาจแพงเกินความเป็นจริง นักเทรดมักใช้จังหวะนี้เป็นโอกาสในการเข้าขายเพื่อทำกำไร
อินดิเคเตอร์ที่ใช้ดู Oversold Overbought คืออะไร
การที่จะรู้ว่าตลาดกำลังอยู่ในภาวะ Oversold หรือ Overbought นั้น เราจำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Indicator Forex มาช่วยในการวิเคราะห์ โดยตัวที่นิยมใช้มีดังนี้
อินดิเคเตอร์ Relative Strength Index (RSI)
RSI (Relative Strength Index) เป็นอินดิเคเตอร์ยอดนิยมในกลุ่ม Momentum ที่ใช้วัดความเร็วและการเปลี่ยนแปลงของราคา โดยเปรียบเทียบระหว่างแรงซื้อและแรงขาย RSI มีช่วงค่าตั้งแต่ 0-100 ซึ่งช่วยให้นักเทรดสามารถระบุภาวะ Overbought และ Oversold ได้ดังนี้
- RSI สูงกว่า 70 บ่งชี้ภาวะ Overbought ซึ่งแสดงว่าราคาอาจจะแพงเกินไปและมีโอกาสที่จะกลับตัวลง นักเทรดควรเตรียมพร้อมสำหรับสัญญาณขาย
- RSI ต่ำกว่า 30 บ่งชี้ภาวะ Oversold ซึ่งแสดงว่าราคาอาจจะถูกเกินไปและมีโอกาสที่จะกลับตัวขึ้น นักเทรดควรเตรียมพร้อมสำหรับสัญญาณซื้อ
แม้ว่าค่ามาตรฐานของ Overbought จะอยู่ที่ 70 และ Oversold จะอยู่ที่ 30 แต่นักเทรดสามารถปรับเปลี่ยนค่าเหล่านี้ให้เหมาะสมกับสินทรัพย์แต่ละประเภทและกลยุทธ์การเทรดของตนเองได้
อินดิเคเตอร์ Stochastic Oscillator
Stochastic Oscillator เป็นอินดิเคเตอร์อีกตัวที่นักเทรดนิยมใช้ในการวิเคราะห์ภาวะ Overbought และ Oversold โดยวัดตำแหน่งของราคาปัจจุบันเทียบกับช่วงราคาสูงสุดและต่ำสุดในช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่งมักใช้ค่าเริ่มต้นที่ 14 วัน
Stochastic ประกอบด้วยเส้น %K และ %D ซึ่งคำนวณได้จากสูตร
%K = [(ราคาปิด – ราคาต่ำสุดในรอบ 14 วัน) / (ราคาสูงสุดในรอบ 14 วัน – ราคาต่ำสุดในรอบ 14 วัน)] × 100
%D = ค่าเฉลี่ย %K 3 วันย้อนหลัง
ในการใช้ Stochastic เพื่อระบุภาวะ Overbought และ Oversold:
- เมื่อ %K สูงกว่า 80 แสดงถึงภาวะ Overbought มีแนวโน้มที่ราคาจะปรับตัวลง ควรเตรียมพร้อมสำหรับสัญญาณขาย
- เมื่อ %K ต่ำกว่า 20 แสดงถึงภาวะ Oversold มีแนวโน้มที่ราคาจะกลับตัวขึ้น ควรเตรียมพร้อมสำหรับสัญญาณซื้อ
ทั้งนี้ RSI และ Stochastic เป็นเพียงตัวอย่างของอินดิเคเตอร์ที่นิยมใช้ในการวิเคราะห์ภาวะ Overbought และ Oversold แต่ยังมีอินดิเคเตอร์อื่น ๆ อีกมากที่สามารถใช้ในลักษณะเดียวกัน
วิธีเทรด Forex โดยใช้ Overbought Oversold

วิธีเทรด Forex โดยใช้ Overbought Oversold จำเป็นต้องมีกลยุทธ์ที่เหมาะสม ไม่ใช่เพียงแค่เห็นสัญญาณแล้วเข้าซื้อหรือขายทันที แต่ต้องพิจารณาปัจจัยอื่นร่วมด้วย โดยกลยุทธ์ที่นิยมมี 2 แบบหลัก ๆ คือ
1. การเทรดบน Mean Reversal
Mean Reversal เป็นกลยุทธ์การเทรดที่อยู่บนพื้นฐานความเชื่อว่าราคาที่เบี่ยงเบนไปจากค่าเฉลี่ยมากเกินไป ไม่ว่าจะสูงหรือต่ำ มักจะกลับมาสู่ค่าเฉลี่ยในที่สุด ซึ่งสอดคล้องกับหลักการของภาวะ Overbought และ Oversold ที่มองว่าเมื่อราคาสูงหรือต่ำเกินไป จะมีแรงดึงให้กลับมาสู่สมดุล
การเทรดแบบ Mean Reversal เหมาะกับตลาดที่ไม่มีแนวโน้มชัดเจน (Sideway) หรือมีการเคลื่อนไหวในกรอบ
ตัวอย่างกลยุทธ์การเทรดด้วย RSI
- วิเคราะห์แนวโน้มราคาเบื้องต้น โดยใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ เช่น MA200
- ราคาอยู่เหนือ MA200: แนวโน้มขาขึ้น
- ราคาอยู่ใต้ MA200: แนวโน้มขาลง
- ราคาเคลื่อนไหวใกล้เคียง MA200: ไม่มีแนวโน้มชัดเจน (Sideway)
- กำหนดจุด Overbought และ Oversold ที่เหมาะสม ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องใช้ค่ามาตรฐาน เช่น อาจใช้
- Overbought: RSI > 90 (แทนที่จะเป็น 70)
- Oversold: RSI < 10 (แทนที่จะเป็น 30)
- รอให้ราคาเข้าสู่จุด Overbought หรือ Oversold ที่กำหนดไว้ แล้วจึงเข้าทำรายการ
- เมื่อเข้าสู่ Overbought เปิดออเดอร์ Sell
- เมื่อเข้าสู่ Oversold เปิดออเดอร์ Buy
- กำหนดจุดปิดสถานะเมื่อราคากลับเข้าสู่ค่าเฉลี่ย เช่น เมื่อราคาวิ่งกลับไปแตะเส้น SMA5
2. การเทรดบน Divergence
Divergence คือปรากฏการณ์ที่ราคาและอินดิเคเตอร์แสดงทิศทางที่ขัดแย้งกัน ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าแนวโน้มปัจจุบันอาจกำลังอ่อนตัวและเตรียมกลับทิศทาง การวิเคราะห์ Divergence มักนิยมใช้ร่วมกับภาวะ Overbought และ Oversold เพื่อยืนยันสัญญาณการกลับตัวของราคา
Divergence มี 2 ประเภทหลัก
- Bearish Divergence ราคาสร้างจุดสูงใหม่ แต่อินดิเคเตอร์ไม่สามารถสร้างจุดสูงใหม่ได้ (สัญญาณขาลง)
- Bullish Divergence ราคาสร้างจุดต่ำใหม่ แต่อินดิเคเตอร์ไม่สามารถสร้างจุดต่ำใหม่ได้ (สัญญาณขาขึ้น)
ตัวอย่างกลยุทธ์การเทรด Divergence ด้วย RSI
- มองหาสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มชัดเจน (ขาขึ้นหรือขาลง) และสังเกตว่ากำลังเริ่มมีรูปแบบการกลับตัว
- หา Divergence ระหว่างราคาและ RSI
- Bearish Divergence ราคาสร้างจุดสูงใหม่ แต่ RSI ไม่สามารถทำได้ โดยเฉพาะเมื่อ RSI อยู่ในโซน Overbought
- Bullish Divergence ราคาสร้างจุดต่ำใหม่ แต่ RSI ไม่สามารถทำได้ โดยเฉพาะเมื่อ RSI อยู่ในโซน Oversold
- เข้าทำรายการเมื่อมีการยืนยันการกลับตัวของราคา
- กำหนดจุดปิดสถานะเมื่อแนวโน้มใหม่เริ่มอ่อนตัวหรือเมื่อเริ่มเห็นสัญญาณการกลับตัวใหม่อีกครั้ง
สรุปบทความ
Oversold Overbought คือเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีประโยชน์อย่างมากสำหรับนักเทรด โดยช่วยบ่งชี้ว่าราคามีการซื้อขายมากเกินสมดุลและมีโอกาสเกิดการกลับตัว การเข้าใจว่า Oversold และ Overbought คืออะไร และการนำไปใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์อย่าง RSI หรือ Stochastic จะช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการเทรด
หากคุณสนใจพัฒนาทักษะการเทรดให้เชี่ยวชาญมากยิ่งขึ้น Master Trader Academy พร้อมดูแล! ด้วยคอร์สเรียนเทรดที่ครอบคลุม พร้อมเทคนิคการเทรดดี ๆ และทีมผู้สอนที่มีประสบการณ์ตรง เราพร้อมช่วยให้คุณก้าวสู่การเป็นนักเทรดมืออาชีพที่ประสบความสำเร็จ
สอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับคอร์สเรียนได้ที่
- Line : @mtaacademy
- Facebook : Master Trader Academy TH
- Email : mtamasteracademy@gmail.com




